“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ทัศนคติที่หลายๆ คนมีต่องานที่ตนเองต้องทำ ว่าเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำเงิน เพื่อนำเงินมาหาความสุข จริงอยู่ที่เราทำงานเพราะต้องการเงินมาใช้จ่าย เนื่องจากสังคมของเราต้องใช้เงินเพื่อการแลกเปลี่ยนปัจจัยการดำเนินชีวิต ทั้งปัจจัยสี่ ปัจจัยอื่นๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการ และการสร้างความสะดวกสบายของมนุษย์ แต่คงไม่ดีแน่หากทุกๆ วัน เรามัวมุ่งแต่ทำงานเพื่อการสร้างเงิน แต่ปราศจากใจที่รักในงานที่ทำอย่างแท้จริง
การทำงานที่หวังเพียงเงิน ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรที่วันๆ เอาแต่ขับเคลื่อนฟันเฟืองไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการพัฒนา จนวันนึงที่กลไกชำรุด เจ้าของคงทำได้เพียงนำไปซ่อมแซมหรือโละทิ้ง นั่นคือสิ่งตอบแทนที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน “คนๆ นึงทำงานเพื่อหวังเงิน ส่วนอีกคนใช้เงินเพื่อให้คนมาทำงาน” นับเป็นการเชิดชูวัตถุอยู่เหนือกว่าจิตใจ แถมทั้งคู่ก็ได้เพียงผลิตภัณฑ์ แต่ขาดความสัมพันธ์และคุณภาพ
ต่างจากคนที่รักในการที่ทำ คนประเภทนี้จะมีความสุขในการทำงาน มักจะคอยแสวงหาแนวทางใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อพัฒนาผลงานและตนเองอยู่เสมอ การทำงานด้วยความตั้งใจ จะช่วยให้เรามองเห็นประโยชน์หลายๆ อย่างที่ได้จากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะที่เพิ่มมากขึ้น เป็นการแสวงหาโอกาสดีๆ ใหม่ๆ ไปในตัว เพราะการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ จะช่วยให้เรารู้ถึงจุดดี จุดด้อย ความชอบของตัวเองมากยิ่งขึ้น หัวหน้าหรือนายจ้างที่ไหนก็รัก และเป็นที่ต้องการของทุกๆ องค์กร คนทำงานแบบนี้ย่อมได้ทั้งเงิน ได้ทั้งงาน ได้ความรู้ และได้หัวใจของเพื่อนร่วมงานและนายจ้าง
คงอยู่ที่คุณแล้วละครับ ว่าอยากเป็นคนทำงานที่ได้เพียงเงิน เช้าตอกบัตรเข้า เที่ยงกินข้าว เย็นตอกบัตรออก จบไปวันๆ หรือเข้างานเช้าอย่างกระปรี่กระเปร่า ทำงานด้วยความกระฉับเฉง เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ออกจากที่ทำงานโดยทำการสะสางภาระงานอย่างเสร็จสิ้น เป็นที่ประทับใจของเจ้านาย นำมาซึ่งรายได้ ที่มากกว่าเงิน นั่นคือความรู้ โอกาสดีๆ ที่มีมากขึ้น ความภาคภูมิใจ และที่สำคัญได้ใจเจ้านายไปเต็มๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก ทำงานให้มากกว่าเงิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น